QR-CODE คืออะไร


QR-Code (ย่อมาจาก Quick Response Code) เป็นชนิดของบาร์โค้ดเมทริกซ์ (หรือรหัสสองมิติ) ออกแบบครั้งแรกเพื่อใช้สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ระบบได้กลายเป็นที่นิยมของนอกอุตสาหกรรมเนื่องจากการอ่านอย่างรวดเร็วและความจุขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับ รหัสประกอบด้วยโมดูลสีดำจัดอยู่ในรูปแบบตารางบนพื้นสีขาว ข้อมูลที่เข้ารหัสจะถูกสร้างขึ้นจากสัญลักษณ์ใด ๆ ของข้อมูล (เช่นสัญลักษณ์ไบนารีตัวอักษรและตัวเลขหรือคันจิ)
QR-Code สร้างขึ้นโดยโตโยต้า บริษัท เด็นโซ่เวฟในปี 1994 รหัส QR เป็นหนึ่งในประเภทที่นิยมที่สุดของบาร์โค้ดสองมิติ QR โค้ดถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้เนื้อหาที่จะถอดรหัสที่ความเร็วสูง เทคโนโลยีที่ได้เห็นและมีการใช้บ่อยในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมถึง สหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่อยู่ในลำดับที่ 1-7 ของโลก ที่มีผู้บริโภคใช้งาน QR-Code มากที่สุด
QR Code เป็นบาร์โค้ด 2 มิติแบบเมตริกซ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Nippon Densoประเทศญี่ปุ่นในปี 2537 สอดคล้องกับมาตรฐาน ISO/IEC 18004, JIS X 0510, JEIDA-55 และ AIM ITS/97/001 ISS-QR Code ลักษณะของบาร์โค้ดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีโมดูลข้อมูล 21×21 ถึง 177×177 โมดูล สามารถบรรจุข้อมูลได้มากที่สุด 7,089 ตัวเลขหรือ 4,296 ตัวอักษร ข้อมูลเลขฐานสอง 2,953 ไบต์ และตัวอักษรญี่ป่น 1,817 ตัวอักษร รูปแบบค้นหาของ QR Code อยู่ที่มุมทั้งสามของบาร์โค้ด คือ มุมซ้ายบน มุมซ้ายล่าง และมุมขวาบน  QR Code ส่วนใหญ่ใช้ในงานที่ต้องการบรรจุข้อมูลจำนวนมากลงในบาร์โค้ดและต้องการอ่าน ข้อมูลจากบาร์โค้ดอย่างรวดเร็ว
 ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบบาร์โค้ด 2 มิติชนิดต่างๆ
 บาร์โค้ด 2 มิติ
 
PDF417MaxiCode  Data MatrixQR Code 
 ผู้พัฒนา (ประเทศ) Symbol
Technologies
(สหรัฐอเมริกา)
 Oniplanar
(สหรัฐอเมริกา)
 RVSI Acuity
CiMatrix
 DENSO
 ประเภทบาร์โค้ด แบบสแต๊ก แบบเมตริกซ์  แบบเมตริกซ์  แบบเมตริกซ์
 ขนาดความจุข้อมูลตัวเลข  2, 710 138 3,116 7,089
 ตัวอักษร 1,850 93 2,355 4,296
 เลขฐานสอง 1,1018 - 1,556 2,953
 ตัวอักษรญี่ปุ่น 554 - 778 1,817
 ลักษณะที่สำคัญ- บรรจุข้อมูลได้มาก  - มีความเร็วในการอ่านสูง - บาร์โค้ดมีขนาดเล็ก
 - บาร์โค้ดมีขนาดเล็ก
- มีความเร็วในการอ่านสูง
- บรรจุข้อมูลได้มาก 
 มาตรฐานที่ได้รับ -ISO/IEC 15438
- AIM USS-PDF417
 -ISO/IEC 16023
-ANSI/AIM
BC10-ISS-MaxiCode
 - SIO/IEC 16022
ANSI/AIM
BC11-ISS-Data Maxtix
 - SIO/IEC 18004
- JIS X 0510
 JEUDA-55
- AIM ITS/97/001
ISS-QR Code
การนำเทคโนโลยีบาร์โค้ด 2 มิติมาใช้งาน
ตัวอย่างการใช้งานบาร์โค้ดแบบ QR Code
- ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ มีการติดบาร์โค้ดบนชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์ต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลของอะไหล่ชิ้นนั้น เช่น ชื่อรุ่น รหัสอะไหล่ และประเภท
  ของอะไหล่ เป็นต้น
- ด้านกระบวนการผลิตสินค้ามีการติดบาร์โค้ด 2 มิติบนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของแผงวงจรนั้น

แนะนำ jQuery Plugin : jQuery Combogrid


ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก jQuery เพราะว่าในด้านการพัฒนาแอพลิชั่นบนเว็บนั้นดูเหมือนเป็นสิ่งจำเป็นเลยทีเดียว (จริงๆ Javascript framework ก็มีหลายตัวนะ) jQuery คืออะไร บทความนี้ผมจะไม่พูดถึงแล้วนะครับ ผมจะข้ามไปที่ส่วนเสริม หรือ Plugin ตัวที่ผมจะนำเสนอเลย

jQuery Plugin

ถ้าพูดถึง jQuery plugin หลายๆคนคงเคยใช้ เ่ช่น jQuery datatable plugin , fancybox , colorbox , lightbox , autocomplete ฯลฯ แต่วันนี่ผมจะพูดถึง jQuery Combogrid

jQuery Combogrid

jQuery Combogrid คืออะไร ก็คือ Plugin หรือ ส่วนเสริมที่มาจากการใช้ jQuery framework ไปต่อยอดเป็นโปรเจคย่อยนั้นเอง jQuery Combogrid นั้นจะรวมเอาความสามารถของ jQuery Datatable และ jQuery Autocomplete มารวมกัน แล้วเอาไว้ทำอะไรล่ะ พูดสั้นๆก็คือเป็นการค้นหา แบบ Autocomplete หรือ Auto suggestions แต่แสดงผล จัดเรียง แบ่งหน้า แบบ Datatable

Screenshot



วิธีใช้งาน

ส่วนวิธีใช้งานนั้นก็ไม่ยากครับ เพียงแค่ include หรือ เรียกใช้ jQuery ก่อนแล้วเรียก jQuery Combogrid เข้ามาใ้ช้งาน


Download !!

ส่วนข้อมูลเพิ่มเติม Options ต่างๆ สามารถศึกษาได้ที่ jQuery Combogrid

อ้างอิง : http://www.gu-soft.com/site/article/jquery-plugin-combogrid.html

MongoDB คืออะไร , NoSQL คืออะไร, การติดตั้ง MongoDB , แนะนำการใช้งาน MongoDB เบื้องต้น , การติดตั้ง Driver , Extension สำหรับ PHP เพื่อติดต่อกับ MongoDB

หลายๆคน คงเคยใช้งาน Database มาแล้วหลายๆตัว อาทิ เช่น Mysql , Mssql , Oracle , Postgress Sql และอื่นๆอีกมากมาย เราต่างก็รู้ว่า Database ประโยชน์ของมันก็คือ การจัดเก็บข้อมูลของเราเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกับข้อมูลรวมถึงการใช้งานข้อมูลร่วมกัน วันนี้ผมจะมาแนะนำ MongoDB แต่ก่อนที่จะแนะนำ MongoDB ผมจะขอพูดถึง NoSQLก่อน

MongoDB



NoSQL คืออะไร?

ปกติเราเคยได้ยินแต่ SQL (Structured Query Language) ซึ่งเป็นภาษามาตรฐานในการจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูล เราใช้มันในการ คิวรี่เลือกข้อมูลที่ต้องการเอามาจัดการ เพิ่ม ลบ แก้ไข ข้อมูล รวมถึงจัดการกับโครงสร้างของ ฐานข้อมูล ที่เราสร้างขึ้นมา โดยใช้ภาษา SQL ในการทำงาน แต่ NoSQL สรุปสั้นๆคือจะไม่มีภาษา SQL ให้เราใช้ แต่จะเป็นภาษา ที่เจ้าของ NoSQL แต่ละเจ้าสร้างขึ้นมาเอง ส่วนเรื่องของการทำงานนั้นจะเน้นความเร็วในการทำงานเป็นหลัก จะไม่เน้นในการสร้างความสัมพันธ์ของข้อมูล ดังนั้น ลืมเรื่องการ JOIN และ WHERE ไปได้เลย เพราะเหตุนี้จึงทำให้การทำงานของ NoSQL ไวขึ้น คิวรี่ข้อมูลได้เร็วขึ้น ส่วนเรื่องการคำนวณต่างๆเราก็ต้องมาทำที่โปรแกรมแทนซึ่งจะเป็นการลดภาระการทำงานของ Database ลง ซึ่งจะเหมาะกับระบบที่ทำงานกับข้อมูลมากมายมหาศาล แต่ไม่ซับซ้อนและมีการคำนวณมากนัก รวมถึงระบบที่เป็นการทำงานแบบเรียลไทม์ (Real Time) เช่น ระบบการจัดเก็บเอกสาร ระบบการจัดเก็บ Log รวมถึง Web2.0 ที่ต้องการ การอัพเดตแบบ Real time ลองนึกภาพ Facebook หรือ Twitter ที่มีคนเข้าใช้งานทั้งวันทั้งคืน มีการโพสข้อความ รวมถึงการแจ้งเตือนการ อัพเดตตลอดเวลา ถ้าหากมีการ JOIN หรือWHERE กว่าจะได้ข้อมูลก็คงจะใช้เวลานาน และผู้ใช้งานก็คงจะบ่นว่าช้า และเลิกใช้บริการในที่สุด

จริงๆ NoSQL มีหลายเจ้า ให้เลือกใช้งานทั้งฟรีและไม่ฟรี ดังนั้นสิ่งสำคัญในการนำมาใช้งานก็คือ ควรจะเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับงานของเรา (รายละเอียดสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://nosql-database.org/)
บทความนี้ผมจะพูดถึง MongoDB เท่านั้น หากใครสนใจตัวอื่นๆก็สามารถเข้าไปศึกษาจากเว็บไซต์ http://nosql-database.org/ได้เลยครับ

การติดตั้ง MongoDB

การติดตั้ง MongoDB นั้นทำได้ไม่ยากครับ ซึ่ง MongoDB สามารถติดตั้งและใช้งานบนระบบปฏิบัติการ Windows , Linux รวมถึง OSX แต่ในบทความนี้ผมจะพูดถึงการติดตั้ง MongoDB บน ระบบปฏิบัติการ Windows นะครับ เริ่มจากการดาวน์โหลดชุดติดตั้งสำหรับ Windows มีทั้ง 32bit และ 64bit Download MongoDB for Windows


หลังจากดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งเสร็จแล้วให้ทำการคลายชิปไฟล์ (แตกไฟล์) ออกมาเราจะได้โฟล์เดอร์ mongodb-win32-i386-[version] หรือ mongodb-win32-x86_64-[version] (สำหรับ windows 64 bit)


จากนั้นให้ทำการ Cut หรือ Copy โฟล์เดอร์ ไปวางไว้ใน Local Disk หรือ Directory ที่คุณต้องการ จากตัวอย่างผมเอาไปวางไว้ที่ ไดร์ฟ C:\mongodb-win32-i386-2.4.4


เมื่อทำการคลิ๊กเข้าไปดูใน โฟล์เดอร์ mongodb-win32-i386-2.4.4 จะเห็นว่า มีโฟล์เดอร์ Bin อยู่ข้างในซึ่งเก็บไฟล์และเครื่องมือต่างๆของ MongoDB ไว้ จากนั้นให้ทำการ เปิด Command Lind (CMD) โดยคลิก Start > run > cmd แล้วคลิกขวาเลือกRun as administrator


ขั้นตอนต่อไปให้ทำการสร้าง โฟล์เดอร์ขึ้นมาตั้งชื่อว่า data และในโฟล์เดอร์ data ให้สร้าง โฟล์เดอร์ย่อยขึ้นมาอีกหนึ่งโฟล์เดอร์แล้วตั้งชื่อว่า db หรือ พิมพ์คำสั่ง Make Directory บน Command Line ก็ได้ เราจะได้โฟล์เดอร์ data/db

>cd\
>md data\db



หลังจากนั้นให้ทำการสร้าง Log สำหรับ MongoDB โดยทำการสร้างโฟล์เดอร์ไว้ใน Directory ของเราสำหรับเก็บ log MongoDB

>md C:\mongodb-win32-i386-2.4.4\log

สร้างแฟ้มการกำหนดค่า logpath สำหรับ MongoDB ใน Command Prompt โดยการพิมพ์คำสั่งนี้:

>echo logpath = C:\mongodb-win32-i386-2.4.4\log\mongo.log > C:\mongodb-win32-i386-2.4.4\bin\mongod.cfg

จากนั้น Start การทำงาน MongoDB ด้วยคำสั่งดังต่อไปนี้ถือว่าเป็นอันเสร็จสมบูรณ์

>cd mongodb-win32-i386-2.4.4\bin
>mongod




จากนั้นเปิด Command Line มาอีกตัว แล้วลองพิมพ์คำสั่งดังต่อไปนี้ โดยเข้าไปยัง Path ของ MongoDB ก่อน

>cd mongodb-win32-i386-2.4.4\bin
>mongo
>show databases


ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราจะพบกับ Database พื้นฐานของ MongoDB


สำหรับคำสั่ง หรือ Command ของ MongoDB นั้น สามารถศึกษาได้จากที่นี่ http://docs.mongodb.org/manual/reference/command/

มาถึงขั้นตอนนี้เราก็สามารถที่จะใช้งาน MongoDB ได้แล้ว แต่ถ้าเราทำการ Restart หรือ Shutdown Windows ไปแล้วเปิด หรือบูตขึ้นมาใหม่เราก็จะต้องทำการ ไปเปิดการใช้งาน MongoDB ทุกๆครั้ง ดังนั้นเราจึงต้องทำการ Install service ของ MongoDB ให้สามารถทำงาน ในทุกๆครั้งที่เราเปิดหรือบูตเครื่องขึ้นมาใหม่ โดยสามารถทำได้ ดังนี้

การติดตั้ง Service MongoDB


เปิด Command Line (CMD) โดยเลือก Start > run >cmd แล้วคลิกขวาเลือก Run as administrator จากนั้นพิมพ์คำสั่ง

>C:\mongodb-win32-i386-2.4.4\bin\mongod.exe –config C:\mongodb-win32-i386-2.4.4\bin\mongod.cfg –install

การ Start Service ของ MongoDB สามารถทำได้ โดยการพิมพ์คำสั่ง ดังนี้

>net start MongoDB

การ Stop Service ของ MongoDB สามารถทำได้ โดยการพิมพ์คำสั่ง ดังนี้

>net stop MongoDB

และการลบ Service MongoDB ออกจาก Windows สามารถทำได้ โดยการพิมพ์คำสั่ง ดังนี้

>C:\mongodb-win32-i386-2.4.4\bin\mongod.exe –remove

การติดตั้ง Driver ,Extension สำหรับ PHP เพื่อใช้งาน MongoDB

จริงๆแล้ว MongoDB รองรับการเขียนโปรแกรมได้หลายภาษา แต่ผมจะยกตัวอย่างการติดตั้งสำหรับ PHP เท่านั้น สำหรับภาษาอื่นๆ สามารถดูได้ที่นี่ http://docs.mongodb.org/ecosystem/ การติดตั้ง Driver MongoDB สำหรับ PHP เริ่มแรกให้ท่านเข้าไปทำการโหลด Driver สำหรับ PHP ก่อนที่ https://s3.amazonaws.com/drivers.mongodb.org/php/index.html โดยผมเลือกเวอร์ชั่นล่าสุด คือ php_mongo-1.4.1.zip สำหรับภาษาอื่นๆ สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ครับ http://docs.mongodb.org/ecosystem/drivers/ เมื่อทำการดาวน์โหลดเสร็จแล้วทำการคลายชิปไฟล์ (แตกไฟล์) เราจะเห็นไฟล์ Extension สำหรับ PHP จากนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมก็จะทำการนำไฟล์ไปใส่ไว้ที่ C:\AppServ\php5\ext กรณีที่ใช้ Appserv สำหรับตัวอื่นๆก็นำไปใส่ไว้ใน path php\ext ของแต่ละตัว จากนั้นทำการแก้ไขไฟล์ php.ini เปิดการใช้งาน extension=php_mongo.dll ตรงนี้ให้ทำการตรวจสอบ Version ของ PHP ที่คุณใช้ก่อนนะครับตรวจสอบจาก http://127.0.0.1/phpinfo.php และนำไฟล์ php_mongo.dll ที่ตรงกับ PHP version ที่คุณใช้อยู่ไปใส่ในโฟล์เดอร์ C:\AppServ\php5\ext


จากนั้นทำการ Restart service apache ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเมื่อเปิด http://127.0.0.1/phpinfo.php เพื่อตรวจสอบจะพบว่า mongodb ได้เปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว

Alan Mathison Turing



แอลัน แมธิสัน ทัวริง (Alan Mathison Turing) (23 มิถุนายน พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - 7 มิถุนายน พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954)) เป็นนักคณิตศาสตร์นักตรรกศาสตร์นักรหัสวิทยา และวีรบุรุษสงคราม ชาวอังกฤษ และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นบิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์
เขาได้สร้างรูปแบบที่เป็นทางการทางคณิตศาสตร์ของการระบุอัลกอริทึมและการคำนวณ โดยใช้เครื่องจักรทัวริง ซึ่งตามข้อปัญหาเชิร์ช-ทัวริงได้กล่าวว่าเป็นรูปแบบของเครื่องจักรคำนวณเชิงกลที่ครอบคลุมทุกๆ รูปแบบที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทัวริงมีส่วนสำคัญในการแกะรหัสลับของฝ่ายเยอรมัน โดยเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่ม Hut 8 ที่ทำหน้าที่ในการแกะรหัสของเครื่องอีนิกมาที่ใช้ในฝ่ายทหารเรือ
หลังจากสงครามเขาได้ออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถโปรแกรมได้เครื่องแรกๆ ของโลกที่ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์แห่งชาติ และได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นจริงๆ ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ รางวัลทัวริงถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อยกย่องเขาในเรื่องนี้
นอกจากนั้นแล้วการทดสอบของทัวริงที่เขาได้เสนอนั้นมีผลอย่างสูงต่อการศึกษาเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งในขณะมีถกเถียงที่สำคัญว่า: เป็นไปได้หรือไม่ที่จะกล่าวว่าเครื่องจักรนั้นมีสำนึกและสามารถคิดได้

ประวัติ
แอลัน ทัวริง เป็นชาวอังกฤษ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) ที่ลอนดอน และอาศัยอยู่กับพี่ชาย. บิดาและมารดาของทัวริง พบกัน และทำงานที่ประเทศอินเดีย.
ในสมัยมัธยม ทัวริงสนิท และนับถือรุ่นพี่คนหนึ่ง ชื่อ คริสโตเฟอร์ มอร์คอม (Christopher Morcom) ซึ่งเสียชีวิตไปซะก่อน ทัวริงเศร้ามาก เลยตั้งใจสานต่อสิ่งที่รุ่นพี่เขาอยากทำให้สำเร็จ. ตลอดสามปีหลังจากนั้น เขาเขียนจดหมายอย่างสม่ำเสมอให้คุณแม่ของมอร์คอม ว่าเขาคิด และสงสัยเรื่องความคิดของคน ว่าไปจับจดอยู่ในเรื่องหนึ่ง ๆ ได้อย่างไร (how the human mind was embodied in matter) และ ปล่อยเรื่องนั้นๆ ออกไปได้อย่างไร (whether accordingly it could be realeased from matter) แล้ววันหนึ่งเขาก็ไปเจอหนังสือดังในยุคนั้นชื่อ "The Nature of the Physical World" อ่านไปก็เกิดนึกไปเองว่า ทฤษฏีกลศาสตร์ควอนตัม มันต้องเกี่ยวกับปัญหาเรื่อง mind and matter ที่เขาคิดอยู่

การศึกษาและงาน
ปี พ.ศ. 2474 เขาเข้าเรียนคณิตศาสตร์ ที่ คิงส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (หมายเหตุ: ยุคนั้น คิงส์คอลเลจเป็นที่พักชายล้วน ซึ่ง ทัวริงก็อยู่อย่างเปิดเผยว่าเขาเป็นเกย์ และเข้าร่วมกิจกรรมชมรม) ทัวริงมีความสุขกับชีวิตที่นี่มาก และทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น พายเรือ, เรือใบเล็ก และ วิ่งแข่ง. ทัวริงพูดเสมอว่า "งานของผมนั้นเครียดมาก และทางเดียวที่ผมจะเอามันออกไปจากหัวได้ก็คือ วิ่งให้เต็มที่" และเขาก็วิ่งอย่างจริงจัง จนได้ระดับโลก โดยที่ผลการวิ่งมาราธอนของเขา ชนะเลิศการแข่งขันของสมาคมนักกรีฑาสมัครเล่น ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 43 นาที 3 วินาที ในปี พ.ศ. 2489. ซึ่งในการแข่งขันวิ่งมาราธอนโอลิมปิก เมื่อ พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) คนที่ได้เหรียญทอง ทำเวลาได้เร็วกว่าเขาเพียง 11 นาที
ส่วนในเรื่องวิชาการ ในวงการคณิตศาสตร์ยุคนั้น รัสเซิลล์ (Russell) เสนอเอาไว้ว่า "mathematical truth could be captured by any formalism" แต่ยุคนั้น โกเดล โต้ว่า "the incompleteness of mathematics: the existence of true statements about numbers which could not be proved by the formal application of set rules of deduction". พอปี พ.ศ. 2476 ทัวริงก็ได้เจอกับรัสเซิลล์ แล้วก็ตั้งคำถาม พร้อมถกเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา ทำให้เขาสนใจ
ปี พ.ศ. 2477 ทัวริงก็จบจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง. ทางมหาวิทยาลัย ก็เลยเชิญเขาอยู่เป็น Fellow ด้านคณิตศาสตร์ต่อ (ส่วนใหญ่ Fellow ของเคมบริดจ์จะเป็นพวกที่จบปริญญาเอก แต่ทัวริงจบเพียงปริญญาตรี) ปี พ.ศ. 2478 ทัวริงไปเรียนกับ จอห์น ฟอน นอยมันน์ เรื่อง ปัญหาของการตัดสินใจ (Entscheidungs problem) ที่ถามว่า "Could there exist, at least in principle, a definite method or process by which it could be decided whether any given mathematical assertion was provable?" ทัวริงก็เลยมาคิดๆ โดยวิเคราะห์ว่า คนเราทำอย่างไรเวลาทำงานที่เป็นกระบวนการที่มีกฏเกณฑ์ (methodical process) แล้วก็นึกต่อว่า ว่าวางกรอบว่าให้เป็นอะไรซักอย่างที่ สามารถทำได้อย่างเป็นกลไก (mechanically) ล่ะ? เขาก็เลยเสนอทฤษฏีออกมาเป็น "The analysis in terms of a theoretical machine able to perform certain precisely defined elementary operations on symbols on paper tape". โดยยกเรื่องที่เขาคิดมาตั้งแต่เด็กว่า 'สถานะความคิด' (state of mind) ของคน ในการทำกระบวนการทางความคิด มันเกี่ยวกับการเก็บ และเปลี่ยนสถานะจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนี่ง ได้ตามการกระทำทางความคิด, โดยทัวริงเรียกสิ่งนี้ว่า คำสั่งตรรกะ (logical instructions). แล้วก็บอกว่าการทำงานต้องมี กฎเกณฑ์ที่แน่นอน (definite method) (ซึ่งเป็นชื่อแบบดูเข้าใจง่ายเลยนะ แต่ยุคหลังถูกเปลี่ยนมาเรียกเป็นทางการว่า อัลกอริทึม)
พอปี พ.ศ. 2479 เขาก็เลยเตรียมออกบทความวิชาการที่มืชื่อเสียง "On Computable Numbers with an application to the Entscheidungsproblem" แต่ก่อนเขาออกบทความนี้ มีอีกงานของฝั่งอเมริกาของ Church ออกมาทำนองคล้ายๆ กันหัวข้อเหมือนๆ กันอย่างบังเอิญ เขาเลยถูกบังคับให้เขียนอิงงาน Church ไปด้วย (เพราะบทความเขาออกทีหลัง) แต่พอบทความเขาออกมาจริงๆ คนอ่านก็เห็นว่าเป็นคนละทฤษฏีกันและของเขามีเนื้อหา relied upon an assumption internal to mathematics แม่นกว่า การเน้นเรื่อง operation ใน physical world. (ยุคต่อมาคนก็เลยนำ concept เขาไปประยุกต์ใช้และอ้างชื่อให้เกียรติว่า Turing machine, the foundation of the modern theory of computation and computability -- ทำให้หลายๆ คนตั้งให้ แอลัน ทัวริง เป็น The Founder of Computer Science หรือ ผู้ริเริ่มศาสตร์คอมพิวเตอร์) ปลายปีนั้นเองเขาก็ได้รับรางวัล Smith's prize ไปครอง
แล้วเขาก็ไปทำปริญญาโท และปริญญาเอกต่อ ที่ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ซึ่งสงบเงียบตัดห่างจากผู้คน แล้วก็ออกบทความว่า โลกทางความคิด กับ โลกทางกาย น่ะ มันเชื่อมถึงกันได้ ผ่านออกมาด้วยการกระทำ (ในยุคนั้นคนยังไม่คิดแบบนี้กัน) แล้วก็เสนอความคิดออกมาเป็น Universal Turing Machine (เครื่องจักรทัวริง) ในยุคนั้นยังไม่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ แต่เรียกว่าเป็นเครื่องคำนวณที่สามารถป้อนข้อมูลได้ ต่อมาทัวริงก็สร้างเครื่องเข้ารหัส (cipher machine) โดยใช้รีเลย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สำหรับการคูณเลขฐานสอง หลังจากเขาสำเร็จการศึกษา มหาวิทยาลัยปรินซ์ตันก็เสนอตำแหน่งให้เขา แต่เขาตัดสินใจกลับเคมบริดจ์ เลยทิ้งทีมเพื่อนๆ ไว้และ จอหน์ วอน นอยแมน ก็เข้ามาสานต่อพอดี
ส่วนตัวทัวริง ก็เลือกไปทำงานด้าน 'ordinal logic' ต่อแทน เพราะเขาบอกว่าเป็น "my most difficult and deepest mathematical work, was an attempt to bring some kind of order to the realm of the uncomputable" เพราะ ทัวริงเชื่อว่าคนเรา โดยสัญชาติญาณสามารถตอบโต้ต่อเหตุการณ์ได้โดยไม่ต้องคำนวณ ("Human 'intuition' could correspond to uncomputable steps in an argument") แต่งานยังไม่เสร็จ ก็มีสงครามโลกซะก่อน คือก่อนหน้านั้นเขาก็ทำงาน (อย่างเป็นความลับ) ให้กับ British Cryptanalytic department (หรือเรียกกันว่า Government code & cypher school) พอสงครามเริ่มเขาเลยเปิดเผยตัวเอง (ปกติจะทำเป็น fellow ที่คิงส์คอลเลจ เคมบริดจ์ อยู่หน้าฉากงานเดียว) เลยออกย้ายไปทำงานที่ the wartime cryptanalytic headquaters, Bletchley Park เป้าหมายคือเจาะรหัสของเครื่องเข้ารหัสเอนิกมา (Enigma Cipher Machine) ของเยอรมันให้ได้
ช่วงนั้น ทัวริงทำงานกันกับ W.G. Welchman นักคณิตศาสตร์ชื่อดังของเคมบริดจ์อีกคน (คนนี้เจอ critical factors, ทัวริงทำ machanisation of subtle logical deduction) ทัวริงบอกว่าเขาเจาะรหัสได้แล้วคร่าวๆ ในปี ค.ศ. 1939 แต่ต้องได้เครื่องเอนิกมา มาวิเคราะห์การคำนวณทางสถิติเป็นขั้นสุดท้ายก่อน แล้วทุกอย่างจะออกหมด. แต่ต้องรอถึงปี ค.ศ. 1942 ที่เรือดำน้ำ U-boat ของสหรัฐไปยึดมาได้ และแล้วหลังจากนั้นเอนิกมาก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป
พอสงครามเริ่มสงบปี ค.ศ. 1944 ทัวริงก็เริ่มสานต่อโครงการเก่าตั้งชื่อ "Buiding the Brain" แต่ตัดสินใจล้มโครงการไปในปี ค.ศ. 1945 พอได้ข่าวว่าที่ von Neumann ออกบทความเรื่อง EDVAC ออกมาจากฝั่งอเมริกา
ปี ค.ศ. 1946 ทัวริงกลับมาดูงานใหม่ ก็พบว่าเป็นงานคนละแนวคิดกัน ทางอเมริกาเน้นด้านอิเลกทรอนิกส์ แต่ทัวริงคิดแบบคณิตศาสตร์ ("I would like to implement arithmetical functions by programming rather than by building in electronic components, a concept different from that of the American-derived designs). โครงการตอนนั้นของทัวริง คือเครื่องคำนวณ (computation machine) ที่สามารถเปลี่ยนได้ตามใจชอบจาก numerical work เป็น algebra เป็น code breaking เป็น file handling หรือแม้กระทั่งเกมส์. ปี ค.ศ. 1947 ทัวริงเสนอว่า ต้องมีระบบจัดเก็บข้อมูล และ ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ต้องขยายตัวเองออกเป็น ชุดคำสั่งย่อย ๆ ได้ โดยการใช้รูปย่อแบบ รหัสย่อ (คำสั่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาษาโปรแกรม) แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับการสนันสนุน
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ยังคงเสนอตำแหน่งให้เขา แต่ทัวริงตัดสินใจเปลี่ยนสายขอพัก ไม่ทำด้านคณิตศาสตร์ ไม่ทำด้านเทคโนโลยี แต่ไปเล่นเรื่อง neurology กับ physiology sciences แทน แล้วก็ออกบทความเรื่องเครือข่ายประสาท ขึ้นมาว่า "a sufficiently complex mechanical system could exhibit learning ability" แล้วส่งบทความไปตีพิมพ์กับ NPL แต่ NPL ก็ทำงานช้า... อยู่ ๆ ทีมนักวิจัยที่เคมบริดจ์เอง (สมัยนั้นยังชื่อ Mathematical Laboratory อยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็น Computer Laboratory) ก็ผลิตเครื่อง EDSAC ขึ้นมา (เป็นเครื่อง storage computer machine เครื่องแรก) โดยใช้หลักของ ชาร์ล แบบเบจ (Founder of Storage Machine) พร้อมๆ กับ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ได้ทีมของทัวริง ไปทำเครื่องในแนวทัวริงได้สำเร็จ
ทัวริงเลยขี้เกียจยุ่งเรื่องการแข่งขันผลงานทางวิทยาศาสตร์ (ช่วงนั้นผลิตกันเร็วมาก) เลยไปวิ่งแข่งแทน เพราะเวลาที่เขาวิ่งในปี ค.ศ. 1946 นั้น ทำให้เขามีสิทธิ์ลุ้นเหรียญทองวิ่งมาราธอนโอลิมปิก แต่โชคร้ายเขาประสบอุบัติเหตุรถยนต์ก่อน เลยไม่สามารถไปแข่งโอลิมปิกในปี ค.ศ. 1948 ได้ (ในปีนั้นคนที่ได้เหรียญเงินเวลารวมก็แพ้ทัวริง) สุดท้ายทัวริงก็เลยตัดสินใจกลับเคมบริดจ์ ผ่านไประยะนึง ทีมงานเก่าเขาที่ย้ายไปมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก็เชิญเขาไปเป็นหัวหน้าภาควิชาใหม่ (ภาควิชาคอมพิวเตอร์) ทัวริงเลยตัดสินใจย้ายไป คราวนี้ไปเน้นด้านซอฟต์แวร์ ออกบทความวิชาการชื่อดังอีกอันในยุคนั้น "Computer Machine and Intelligence" ในปี ค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นรากฐานของแนวคิดพัฒนา ปัญญาประดิษฐ์ ในวงการคอมพิวเตอร์
ปี ค.ศ. 1951 เขาก็จับงานใหม่อีกเล่นอีกแนว morphogenetic theory ออกบทความเรื่อง "The Chemical Basis of Morphogenesis" ซึ่งต่อมาเป็น founding paper of modern non-linear dynamical theory (พวก pattern formation of instability into the realm of spherical objects, e.g. radiolaria, cylinder, model of plant stems)
ในปี ค.ศ. 1952 เขาถูกจับ โทษฐานมีเพศสัมพันธ์กับเด็กชาย ทัวริงไม่ปฏิเสธและยอมรับโทษแต่โดยดี มีทางเลือกให้เขาสองทางคือ หนึ่ง เข้าคุก หรือ สอง รับการฉีดฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อลดความต้องการทางเพศ ซึ่งเขาเลือกที่จะรับการฉีดยา และแล้วปี ค.ศ. 1954 ร่างของทัวริงก็ถูกพบโดยพนักงานทำความสะอาด ในสภาพมีแอปเปิลครึ่งลูกหล่นอยู่ข้างๆ และมีร่องรอยการทำการทดลองทางเคมีอยู่ใกล้ๆ ในที่สุดเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552 หลังจากการรณรงค์ทางอินเทอร์เน็ต กอร์ดอน บราวน์นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรก็ทำการขอโทษอย่างเป็นทางการในนามของรัฐบาลบริติชต่อวิธีอันไม่ถูกต้องที่รัฐบาลปฏิบัติต่อทัวริงหลังสงคราม
หลายปีต่อมา มีการเปิดเผยขึ้นมาว่า ตั้งแต่สงครามโลกสงบลง เขายังคงทำงานให้กับองค์การ 'รหัสลับ' แบบลับๆ ของรัฐบาลอยู่ อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถบอกเพื่อนๆ ได้ว่าทำอะไรบ้าง และปิดบังมาตลอด ช่วงนั้นกำลังมีสงครามเย็น สหราชอาณาจักรกับสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรกัน สู้กับยุโรปตะวันออก, แต่เพื่อนชาวยุโรปตะวันออก ที่เคยร่วมงานกันมาก่อนพยายามติดต่อตัวเขา เช่นในปี ค.ศ. 1953 เพื่อนเขาชาวนอร์เวย์(เป็นสังคมนิยม) ถึงกับมาเยี่ยม ขณะที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ที่ประเทศกรีซ ทำให้พอเขากลับมาถึงอังกฤษ ก็ถูกเรียกไปคุยกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดเรื่องอะไร? และมีเบื้องหลังอย่างไร
สำหรับผลงานที่เด่น ๆ ของทัวริง เช่น การคิดโมเดลที่สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ (แต่อาจมีความเร็วต่ำกว่า) โดยใช้คำสั่งพื้นฐานง่ายๆ เพียง เดินหน้า ถอยหลัง เขียน ลบ เท่านั้นเอง

แว่นตาจอภาพ"โปร่งใส"เชื่อมต่อเน็ตไร้สาย

Epson Moverio BT-100 แว่นตาจอภาพ (จอแสดงผลที่ออกแบบเหมือนแว่นตา โดยผู้สวมใส่จะมองเห็นภาพที่ปรากฎบนกระจกของแว่นตา ซึ่งจะดูใหญ่มาก เพราะอยู่ใกล้ตา) สำหรับการรับชมสื่อต่างๆ ผู้ชมที่สวมใส่ BT-100 จะสามารถมองเห็นภาพ หรือวิดีโอปรากฎบนกระจกแว่นตาที่โปร่งใสมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้ โดยเมื่อบังคับสายตาให้มองใกล้ระยะกระจกก็จะให้ความรู้สึกเหมือนว่า กำลังรับชมวิดีโอ 3D บนจอขนาด 80 นิ้ว ในขณะที่สามารถมองไกลทะลุกระจก เพื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าได้อีกด้วย...ว้าว!!!




แว่นตาจอภาพของ BT-100 จะมีขนาดข้างละ 0.52 นิ้วความละเอียดระดับ qHD (960 x 540 พิกเซล) ซึ่งหากคำนวณตามหลักการมองเห็นจะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังชมภาพหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 320 นิ้วที่ระยะห่าง 20 เมตร (หรือเทียบเท่ากับดูทีวี 80 นิ้วในระยะใกล้) ตัวแว่นตาจอภาพจะมีขนาดใหญ่กว่าแว่นตาทั่วไปไม่มากนัก ผู้ใช้สามารถนำติดตัวไปใช้ในที่่ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย โดย BT-100 จะประกอบด้วยแว่นตาจอภาพพร้อมชุดหูฟังที่ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ควบคุมขนาดเล็กที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.2 สามารถเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi เพื่อดึงคอนเท็นต์จากอินเทอร์เน็ตเข้ามารับชมบนแว่นตาจอภาพได้ โดยแบตเตอรี่ของ BT-100 จะใช้งานต่อเนื่องได้นาน 6 ชั่วโมง สตอเรจภายในเครื่อง 1GB แต่จะมีช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SDHC ที่รองรับได้สูงสุด 32GB ทาง Epson คาดว่าจะเริ่มวางตลาด BT-100 ในญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน ศกนี้ สนนราคาอยู่ที่ 50,000 เยน หรือประมาณ 20,000 บาท คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ล่ะครับ อยากได้ไว้ใช้สักเครื่องไหม?
ข้อมูลจาก: Epson

Camera Mouse ใช้"หัว"ของคุณควบคุม"พอยน์เตอร์"ของเมาส์


สำหรับฟรีแวร์ตัวนี้เริ่มต้นจากการเป็นผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Boston โดยออกแบบให้ผู้พิการทางร่างกายสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างผู้ใช้ทั่วไป Camera Mouse ฟรีแวร์ที่มีขนาดของไฟล์โปรแกรมเล็กมาก แต่มีการทำงานที่น่าอัศจรรย์ เนื่องจากมันสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการเคลื่อนที่ของพอยน์เตอร์ (pointer) เมาส์ได้ด้วยการเคลื่อนไหวศรีษะไปในทิศทางที่ต้องการ โดยฟรีแวร์ตัวนี้สามารถทำงานได้บนพีซี หรือโน้ตบุ๊คที่รัน Windows และมีเว็บแคม ซึ่งเมื่อผู้ใช้ติดตั้ง Camera Mouse เข้าไปในครั้งแรก จะต้องปรับแต่งความเร็ว และความแม่นยำของการทำงาน หลังจากนั้นคุณก็จะสามารถควบคุมพอยน์เตอร์ของเมาส์บนหน้าจอให้ไปในทิศทางต่างๆ ได้ดังใจที่ต้องการ
ในส่วนของการคลิกเมาส์ เมื่อบังคับพอยน์เตอร์ไปบนปุ่ม ทิ้งไว้ประมาณ 1 วินาที โปรแกรมจะคลิกให้เอง ส่วนการดับเบิ้ลคลิก ต้องเลือกเปิดฟังก์ชัน double click ซึ่งจะมีปุ่มควบคุมการดับเบิ้ลคลิ้กบนหน้าจอควบคุมการใช้งาน เมื่อเลื่อนพอยน์เตอร์ไปคลิกปุ่มนี้ การคลิกครั้งต่อไปจะเป็นดับเบิ้ลคลิก อาจจะลำบากสักหน่อย แต่สำหรับผู้พิการแล้วมันช่วยได้มากทีเดียว ส่วนผู้ใช้ทั่วไปอาจจะนำไปใช้ควบคุมเกมส์ง่ายๆ บนคอมพิวเตอร์ อย่างเช่น เกมเปิดป้ายภาพเหมือน หรือเกมส์จับผิดภาพ เพื่อแข่งความเร็ว และความแม่นยำในการควบคุมก็สนุกดีเหมือนกันนะครับ :D

IE9 กราฟิกเร็วกว่า Chrome5 ถึง 12 เท่า


IE9
บล็อก IE ของไมโครซอฟท์ (Microsoft) อ้างว่า บราวเซอร์ ChromeFirefox และ Safari ไม่เหมาะกับการจัดการคอนเท็นต์ HTML5 เนื่องจาก Internet Explorer 9 จะมาพร้อมกับคุณสมบัติเร่งการเรนเดอร์กราฟิกด้วยฮาร์ดแวร์ หรือ D2D ซึ่งผลลัพธ์ทำให้ความเร็วในการเร็นเดอร์ภาพเคลื่อนไหว HTML ของ Internet Explorer 9 เร็วกว่า Chrome 5 ถึง 12 เท่า
ie-9-graphic-rendering-faster-than-chrome-5-2
เพื่อพิสูจน์คำอ้างดังกล่าว ไมโครซอฟท์ใช้ Flickr Explorer แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการเร็นเดอร์กราฟิกของ Internet Explorer 9 แม้ว่าสมรรถนะในการรัน JavaScript ของ Internet Explorer 9 จะสู้ Chrome และ Safari ไม่ได้ แต่การเร็นเดอร์กราฟิกของบราวเซอรรุ่นใหม่ถือว่าเยี่ยมยอดที่สุด ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า Internet Explorer 9 เวอร์ขัน Platform Preview 2 สามารถรีเฟรชหน้าเว็บได้ภายในเวลา 0.019 วินาทีFirefox 3.7a5 0.12 วินาที Chrome 5 ใช้เวลาถึง 0.22 วินาที ส่วน Internet Explorer 8 อยู่ที 0.25 วินาที
ประเด็นก็คือ Firefox 3.7a5 มีคุณสมบัติเร่งการเร็นเดอร์กราฟิกด้วยฮาร์ดแวร์เช่นเดียวกัน แต่มันจะถูกปิด (disable) ไว้ทีดีฟอลต์ ซึ่งในบล็อกของไมโครซอฟท์ระบุว่า “เมื่อใดก็ตามที่ Firefox เวอร์ชันทดสอบเปิดคุณสมบัติการเร่งกราฟิกที่ดีฟอลต์ เมื่อนั้นเราจะเผยแพร่ผลการทดสอบอีกครั้ง” ทางบริษัทยังรายงานอีกด้วยว่า Internet Explorer 9Platform Preview 2 ยังไม่ได้ใช้อินเตอร์เฟซอย่างเป็นทางการ ส่วน Firefox 3.6.4 จะยังไม่มีคุณสมบัติเร่งกราฟิกด้วยฮาร์ดแวร์ D2D hardware acceleration แต่อาจจะมีอยู่ใน Firefox 4.0 เวอร์ชันทดสอบที่มีกำหนดการเปิดตัวปลายเดือนมิถุนายนนี้

ข้อมูลจาก : arip.co.th

Google Me Social Network พันธุ์ใหม่


ข่าวลือก่อนหน้านี้อ้างว่า Google เตรียมเปิดบริการใหม่ที่เรียกว่า ” Google Me ” โดยเป้าหมายคือ โซเชียลเน็ตเวิร์กที่ทางบริษัทพัฒนาออกมาต่อกรกับ Facebook ข่าวดังกล่าวได้ถูกนำมาหยิบยกพูดถึงกันอีกครั้ง เมื่ออีริค ชมิดท์ ซีอีโอของ Google ได้เปิดเผยข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับบริการใหม่ที่ว่านี้
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Eric Schmidt ซีอีโอ Google ได้ให้รายละเอิยดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการของบริษัท ซึ่งมีประเด็นหนึ่งที่ มีการนำมาขยายความกันต่อนั่นก็คือ แผนการเข้าสู่สมรภูมิโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยชมิดท์ได้ตอบคำถามที่ว่า โซเชียลเน็ตเวิร์กมีความสำคัญต่ออนาคตของ Google อย่างไร? และ Google จะต่อสู้กับคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่และแข็งแรง (Facebook) ได้อย่างไร?
Schmidt กล่าวว่า “เรามองโซเชียลเน็ตเวิร์กแตกต่างจากทุกคนที่กำลังเขียนถึงมัน สิ่งที Google ต้องการคือ การทำให้ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นโดยใช้ข้อมูล จากโซเชียลฯ สิ่งที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นถ้า Facebook เปิดเครือข่าย และให้เราเข้าไปใช้ข้อมูลนั้นได้ แต่ถึงแม้จะทำเช่นนั้นไม่ได้ เราก็มีวิธีอื่นๆ อีกมากมายที่จะทำให้ได้ข้อมูลเหล่านั้น เรากำลังพยายามเพิ่มองค์ประกอบของโซเชียลเน็ตเวิร์ก (เข้าไปในผลิตภัณฑ์หลัก) เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Google ดีขึ้น ด้วยการยินยอมจากผู้ใช้ โดยเฉพาะการที่เราสามารถรู้ได้ว่า ใครคือเพื่อนของคุณ เราจะสามารถแนะนำสิ่งที่ผู้ใช้แต่ละคนต้องการได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม รวมถึงคุณภาพการค้าหาที่ดีกว่าด้วย”
นอกจากคำกลาวของชมิดท์แล้ว แหล่งข่าวที่เคยทำงานกับ Google ได้พูดถึงบริการใหม่ว่า “Google Me ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ แต่มันเป็นเลเยอร์ของการทำงานแบบโซเชียลบนผลิตภัณฑ์ทั้งหมด (ฟังดูไม่ค่อยจะเห็นประโยชน์กับผู้ใช้สักเท่าไร)” นอกจากนี้แหล่งข่าวยังกล่าวว่า ” Google Me จะผลักดันให้เกิดกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ที่มาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของ Google ทั้งหมด โดยมี Google Buzz ที่จะได้รับการปัดฝุ่นใหม่ให้ทำหน้าที่่เป็นตัวกลาง แต่ปัจจุบัน Google Buzz ยังไม่ได้ทำงานร่วมกับ Google Apps” แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า Google จะเดินหมากนี้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ ทางบริษัทคงจะไม่ยอมให้ Facebook ครองข้อมูล และส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้ไปอย่างนี้นานๆ อย่างแน่นอน Google Me จะเป็นกาวประสานใจของผู้ใช้ทั่วโลกด้วย Google Apps และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมายที่ดีกว่า การใช้แอพฯ และแลกเปลียนความคิดเห็นกันใน Facebook หรือไม่? คงต้องติดตามกันต่อไป
ข้อมูลจาก : arip

OLED เทคโนโลยีใหม่สำหรับจอภาพ


OLED ( Organic Light Emitting Devices ) ทางบริษัท TDK ได้นำเสนอเทคโนโลยี OLED จอแสดงผลรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติคล้ายฟิล์ม คือมีความโปร่งใสจนสามารถมองเห็นทะลุได้ และจะเปล่งแสงเมื่อได้รับ พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ยังสามารถแสดงภาพในขณะที่จอถูกดัดให้โค้งงอได้อีกด้วย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของเทคโนโลยีจอแสดงผลชนิดนี้ที่เหนือกว่าจอที่ทำจาก แก้วที่แตกร้าวได้ง่าย
TDK คาดว่าจะเริ่มผลิตฟิล์มแสดงผลภายในหนึ่งปี นั่นหมายความว่า เราอาจจะได้เห็นมือถือที่ใช้จอ OLED ชนิดนี้ก่อนสิ้นปี 2011 ก็ได้ โดยนอกจากจะผลิตจอแสดงผลดังกล่าว เพื่อใช้กับมือถือแล้ว TDK ยังมองว่า ฟิล์มแสดงผลชนิดนี้ยังเหมาะกับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สวมใส่ (wearable electronics) อย่างเช่น แว่นตาแสดงผล Augmented Reality ที่สามารถมองเห็นสิ่งที่ตรงหน้า และภาพกราฟิกที่ปรากฎบนฟิล์ม OLED ที่ใช้แทนกระจกแก้ว หรือด้วยความที่มันมีความยืดหยุ่นโค้งงอได้
ในบูธของ TDK ยังได้มีการนำเสนอสายรัดข้อมือที่มาพร้อมกับฟิล์มแสดงผลชนิดนี้ รวมถึงใน อนาคตสามารถพัฒนาเป็นวิวไฟน์เดอร์ของกล้องถ่ายรูป หรือแม้แต่ใช้หน้าจอชนิดนถ่ายรูปสำหรับ Cameraphone ได้เลย จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้ก็คือ ภาพที่สว่างสดใสจนสามารถมองเห็นภายใต้แสงสว่างในธรรมชาติ และพวกที่ชอบก้ม หน้าดูมือถือเวลาเดินก็จะไม่ตกท่อ เพราะจอใส :สำหรับต้นแบบที่นำมาโชว์จะมีขนาด 2 และ 3.5 นิ้ว แต่จะมีความละเอียดสูงถึง 200 พิกเซลต่อนิ้ว
ข้อมูลจาก : arip

Google เปิดสำนักงานในไทย


 
หลังจากที่ Google เปิดสำนักงานที่มาเลเซีย ได้ไม่นาน ก็มีข่าวว่า Google จะเปิดสำนักที่ไทยเช่นกัน ล่าสุดวันที่ 24 สิงหาคม 2554  Google ได้ฤกษ์เปิดสำนักงานในไทย ซึ่งได้เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ณ พระราชวัง พญาไท
Google ได้รับกระแสตอบรับจนมียอดใช้งานของคนไทยที่สูงมากราวๆ 25 ล้านคน  Google ตื่นเต้นกับการทำธุระกิจในประเทศไทย ซึ่งในงานนนี้ คุณอริยะ พนมยงค์ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำประเทศไทย ได้แถลงกล่าว
มร.จูเลี่ยน เพอร์ซูด กรรมการผู้จักการ Google เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กล่าวยินดีเป็นอย่างมากที่ Google จะเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มศักยภาพของเมืองไทยให่แข็งแกร่งขึ้น  และยืนยันว่า สำนักงานแห่งแรกของ Google จะตั้งอยู่ที่ Central World
นอกจากนี้ทาง “พรทิพย์ กองชุน” หัวหน้าฝ่ายการตลาดที่ร่วมบุกเบิก Google ในไทยตั้งแต่ 5 ปีที่ผ่านมาก็ได้กล่าวถึงความสำเร็จของบริษัทด้วย
“Google มีนโยบายทำให้คนทั่วโลกเข้าถึงประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตจะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถออนไลน์เพื่อสร้างรายได้มาก ขึ้น ทำให้เศรษฐกิจประเทศดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้การเรียนรู้ของประชาชนทุกระดับเป็นไปได้ง่ายและมี ประสิทธิภาพขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นโอกาสของเรา”
ขณะนี้ Google ยังประกาศรับสมัคร ผู้ร่วมงานคนไทย 3 ตำแหน่ง ผ่านทางเว็บไซต์ของ Google Thailand ได้แก่
  • Account Manager, Technology/Finance – Bangkok
  • Industry Manager, Technology/CPG – Bangkok
  • Industry Manager, Travel/Finance – Bangkok
ผู้ใดสนใจร่วมงานกับ Google สามารถสมัครได้ที่ Google Thailand ซึ่งคาดว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยไฝ่ฝันร่วมงานกับ Google
บทสัมภาษณ์ คุณอริยะ พนมยงค์
  
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : it.compgamer.com , thumbsup.in.th